ประวัติgucci และความเป็นมาต่าง ๆ ที่คุณนั้น อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?

ประวัติgucci สำหรับแบรนด์ระดับโลก แบรนด์ ๆ นี้นั้น ก็ต้องบอกเลยว่า มีความเป็นมา ที่ไม่ธรรมดา อย่างแน่นอน ซึ่งทางเว็บของเรานั้น ก็ได้ไปค้นหามาจาก ประวัติ gucci ภาษาอังกฤษ และได้นำมาถ่ายทอด ให้กับทุก ๆ ท่านในวันนี้

ซึ่งพอทางเว็บของเรานั้น ได้เข้าไปค้นหาข้อมูล กับพบเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อย ก่อนที่แบรนด์ ๆ นี้จะมาโด่งดัง จนถึงทุกวันนี้ และแน่นอนเลยว่า gucci แปลว่า อะไรนั้น หลาย ๆ คนนั้น คงคิดว่ามีความหมาย แต่จริง ๆ แล้วนั้น แบรนด์ ๆ นี้ เป็นสกุล ของคนผู้หนึ่ง

ที่ชื่อว่า กุชชิโอ กุชชี่ (Guccio Gucci) นั่นเอง ซึ่งเขานั้น เป็นคนที่ได้ถือกำเนิด ที่ประเทศอิตาลี แม้ในปัจจุบันนี้นั้น เขานั้นได้จบชีวิตไปแล้วก็ตาม แบรนด์ ๆ นี้ก็ได้โด่งดัง จนทั่วโลกนั้น ได้รู้จักแบรนด์ ๆ นี้กันอย่างแพร่หลาย

และทำให้ กลุ่มลูกค้า gucci มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ทำให้เว็บของเรานั้น สนใจที่จะนำข้อมูล ที่คุณนั้น อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าแบรนด์ ๆ นี้นั้น ได้ถือกำเนิด เกิดมาได้อย่างไร เราจึงได้เขียนบทความ เพื่อมานำเสนอ ให้กับทุก ๆ ท่านในวันนี้นั่นเอง

ซึ่งแน่นอนเลยว่า นอกจากความเป็นมาต่าง ๆ แล้ว เรายังนำข้อมูล เกี่ยวกับสินค้า ที่เป็นที่นิยม มาแนะนำ ให้กับทุก ๆ ท่านในวันนี้อีกด้วย ซึ่งแต่ละชิ้นนั้น ก็มีผู้คนนั้น ต่างต้องการ ที่จะนำมาครองไว้ กันอย่างมากมาย

ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ทุก ๆ ท่านสามารถดูในหัวข้อต่าง ๆ กันได้เลย

ประวัติgucci

ประวัติgucci มีเรื่องราว ตั้งแต่ต้นอย่างไรบ้าง ที่น่าสนใจ ?

สำหรับ กุชชิโอ กุชชี่ (Guccio Gucci) นั้นเขาได้เกิดในครอบครัวช่างทำฝีมือ และทำเครื่องหนังต่าง ๆ แต่แน่นอนเลยว่า ในช่วงแรก ๆ นั้น เขาไม่ได้มีความสนใจ เกี่ยวกับช่างฝีมือเลย จึงได้ไปตามล่าความฝัน ที่ประเทศอังกฤษ

และก็ได้ทำอาชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พนักงานบริการในลิฟท์ เด็กล้างจาน และก็มาจบที่ ตำแหน่งพนักงานยกกระเป๋า และแน่นอนเลยว่า พอเขานั้นได้เห็นกระเป๋า ในแล้วในเล่า เขากับหลงเสนห์มัน โดยที่ไม่รู้ตัว สุดท้ายแล้วนั้น จึงได้กลับมาที่อิตาลี

และได้ทำงานให้กับ ฟรานซิ (Franzi) เจ้าของบริษัทผลิตกระเป๋าเดินทางแบรนด์ Tony ซึ่งพอได้เวลาที่เขานั้น มีความรู้ขึ้นมาแล้ว เขาจึงได้ให้กำเนิด แบรนด์ ๆ นี้ในปี ค.ศ. 1921 นั่นเอง

ประวัติgucci หลังจากที่ได้เปิดกิจการแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ?

ในขณะที่เขานั้น ได้เปิดกิจการ อายุของเขานั้นก็เข้าช่วง 40 ปีแล้ว และในช่วงเริ่มแรกนั้น ทางกุชชี่ ก็ได้ทำการผลิต เกี่ยวกับอานม้าเป็นหลัก และรวมไปถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักขี่ม้า และแน่นอนเลยว่า ธุรกิจนั้น ก็ไปได้สวยมาก ๆ อีกด้วย

ซึ่งในประเทศอังกฤษนั้น ก็นิยมเป็นอย่างมาก ด้วยที่ เอกลักษณ์ Gucci นั้นเป็นจุดเด่น นั่นก็คือ แถบผ้าทอสีแดงและสีเขียวนั่นเอง  และถือเป็น Gucci กลยุทธ์ ที่น่าสนใจมาก ๆ แต่ทว่า ในช่วง 1930 กิจการกลับดำเนินไปได้ ไม่สวยเท่าที่ควร เนื่องจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง

และในช่วงปี ค.ศ. 1947 ทางแบรนด์นั้น ก็ได้ให้กำเนิดกระเป๋า Iconic Bamboo Bag ขึ้นมา ซึ่งทาง Gucci การออกแบบ ถือได้เลยว่า ไม่เหมือนใคร นั่นก็คือ ใช้ไม้ไผ่ญี่ปุ่นเป็นที่จับนั่นเอง และยังได้จดสิทธิบัตรอีกด้วย และทำให้กลับมานิยมเช่นเคย

ประวัติgucci

สินค้าแบรนด์ gucci ถือได้เลยว่า หลังจากนี้นั้น ก็ได้กลับมา โด่งดังเป็นอย่างมากอีกด้วย

ซึ่งในปี 1953 ความปังของแบรนด์ ก็ได้บังเกิด เนื่องจากว่า ได้เปิดร้านสาขาแรก ณ เมือง Manhattan ซึ่งก็มีความน่าเชื่อถือ เป็นอย่างมาก และได้เป็น ร้านเครื่องหนังระดับสูงของอิตาลีร้านแรก ในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วยนั่นเอง

และก็มีข่าวร้ายตามมา นั่นก็คือ กุชชิโอ กุชชี่ ได้เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 15 วัน ซึ่งกิจการนั้น ก็ได้ตกทอด มาสู่ของในครอบครัว นั่นก็คือลูกชายของเขา อัลโด (Aldo) และเหล่าพี่น้องนั้น ก็ได้ร่วมกันโปรโมตแบรนด์ โดยการเปิดสาขาเพิ่ม ไปยังที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน, ปารีส และนิวยอร์ค

ซึ่งก็ถือได้เลยว่า ประสบความสำเร็จ เป็นอย่างสูงอีกด้วย และก็ได้เพิ่มสาขาอีกที่ ชิคาโกปาล์มบีช เบเวอร์ลี่ฮิลล์ โตเกียว ฮ่องกง และไปถึงเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกนั่นเอง และสุดท้ายนั้น ทายาทรุ่นที่ 3 นามว่า เปาโล ก็ได้มารับช่วงต่อจาก อัลโด

ดีไซเนอร์gucci ถือได้เลยว่า ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ และสร้างเอกลักษณ์ต่าง ๆ ได้อย่างโดเด่น

พอมารุ่นที่ 3 นั้น กลับมีปัญหากันในครอบครัว และสุดท้ายนั้น ก็มีการขายหุ้นส่วนกันเกิดขึ้น ซึ่งทางด้านของ บริษัท อินเวสต์คอร์ป (Investcorp)  ก็ได้เข้ามาซื้อหุ้นส่วนต่าง ๆ จากหลาย ๆ คน เพียงแต่ว่า กิจการนั้น ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

และยังขาดทุนเป็นอย่างมาก แม้จะทำ การตลาด ของ gucci ในช่วง 1991 – 1993 จนทำให้ขาดทุนมากกว่า 120 ล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกว่าจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้ ก็ใช้เวลาถึง 6 ปี จากการที่บริษัท Pinault-Printemps-Redoute ได้เข้ามาซื้อหุ้น คิดเป็น 42% กันเลยทีเดียว

ซึ่งการมาครั้งนี้ ทำให้แบรนด์นั้น ดังเปรี้ยงป้างกันเลยทีเดียว และก็มีแบรนด์สินค้าอื่น ได้เข้ามาร่วมในเครือมากมาย อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เช่น Bottega Veneta ,Yves Saint Laurent รวมถึง Sergio Rossi, Stella McCartney และ Alexander McQueen เป็นต้น